กว่าผมจะเป็นเกย์


กว่าผม...จะเป็นเกย์

 

     มันคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับทุกคนกับการยอมรับกับตัวเองว่าเป็นเกย์ แต่สำหรับคนที่เติบโตมาท่ามกลางลูกพี่ลูกน้องที่ล้อเลียนการเป็นตุ๊ด เป็นแต๋ว และสังคมรอบข้างที่ปฏิเสธและต่อต้านเกย์ ช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบาก

     ไม่มีใครอยากเป็นที่รังเกียจ หรือถูกมองเป็นด้านลบ ถูกมองว่าเป็นชนชั้นสอง ถูกมองว่าแปลกแยก ศัพท์คำว่า “แอ๊บแมน” จึงเกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เกย์หลาย ๆ คนทำ เมื่อต้องการอยู่ท่ามกลางสังคมที่แบ่งแยกเพศอย่างชัดเจนขนาดนี้ วันนี้ในฐานะ “ครูใหญ่” ผมขอเล่าประสบการณ์ที่ทำให้ตัวเองกล้าที่จะเปิดเผยกับสังคมอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ผมเป็นเกย์”

     สำหรับครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน การจะเติมโตท่ามกลางญาติพี่น้องก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ด้วยความที่ผมเป็นน้องเล็กที่สุด ทุกคนก็เลยต้องคอยเอาอกเอาใจใส่เสมอ และนิสัยการเอาแต่ใจก็ก่อตัวขึ้น มันทำให้ผมแสดงความวี๊ดว๊ายได้อย่างเต็มที่จนบรรดาพี่ ๆ มักล้อว่าผมเป็นตุ๊ด ซึ่งแม่ก็จะเป็นคนเดียวที่คอยปกป้อง คอยดุด่าบรรดาพี ๆ ว่าผมไม่ใช่ตุ๊ด ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่จำฝังมาจนถึงทุกวันนี้ ว่าสรุปแล้วไม่มีใครอยากให้ลูกตัวเองเป็นตุ๊ด


     แต่พอโตมาหน่อย เริ่มมีศัพท์ใหม่ที่ใช้บัญญัติชายชอบชาย นั่นคือเกย์ ซึ่งผมก็ยังคงยึดภาพเดิม ๆ ที่มองว่าเกย์ไม่เป็นที่ต้อนรับของสังคม และยังต้องคอยปฏิเสธตนเองว่าผมไม่ใช่เกย์ เพื่อให้ตัวเองเป็นลูกที่แม่รัก แม่ปกป้อง แม้ว่าพฤติกรรมตุ้งติ้งจะมีหลุดออกมาบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับมากนัก

     พอย่างเข้าสู่วัยรุ่น อายุ 15 ปี ผมก็ถูกผู้หญิงจีบ ด้วยความที่ผมมีเชื้อสายจีนอยู่นิด ๆ ทำให้ความขาวของผมสะท้อนภาพลักษณ์ออกมาให้ดูเป็นลูกคุณหนู จนทำให้ไม่ว่าไปไหนก็จะมีคนมองด้วยความแปลกตา เพราะสถานที่ที่ผมไปมักไม่ค่อยมีคุณหนูผ่านไปบ่อยนัก ไม่ว่าจะตลาดสด ตลาดคลองถม และเหตุการณ์ผู้หญิงจีบก็เกิดขึ้นที่ตู้คาราโอเกะแบบหยอดเหรียญในยุคนั้น

     ผมกับน้องผู้หญิงคนนั้นคุยกันนานพอสมควร แม้ว่าจะไม่ได้เจอกัน แต่ก็โทรคุยกันจนแม่ถามว่าน้องผู้หญิงคนนั้นคือใคร ผมว่าแม่ก็คงดีใจลึก ๆ ที่ผมได้คุยกับผู้หญิงสักคน แต่พอวันเวลาผ่านไป ความชัดเจนก็เริ่มปรากฎในความคิดของผม ที่ตะโกนดังว่า ผมไม่ได้ชอบผู้หญิงแน่ ๆ และทำให้ต้องมานั่งทบทวนชีวิตตัวเองอีกครั้งว่าเราคงหนีความเป็นตัวเองไม่พ้นแล้วจริง ๆ จึงทำให้ผมเริ่มยอมรับกับตัวเองว่าผมเป็นเกย์อย่างเต็มตัว และตัดสินใจบอกเลิกน้องผู้หญิงไปด้วยเหตุผลตามจริง



หลังจากผมยอมรับตัวเองแล้ว สิ่งที่ผมตั้งปฏิญาณเอาไว้เลยคือ

มจะทำทุกทางให้ครอบครัวผมยอมรับในการเป็นเกย์ของผมให้ได้

และผมจะไม่ทำให้ใครมาดูถูกผมเด็ดขาด


     นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเอง เมื่อผมเข้ามหาวิทยาลัยในปี 1 ผมมีแฟนเป็นผู้ชายครั้งแรก และเมื่อถึงจุดที่คิดจะคบกันจริงจัง ผมเลยตัดสินใจบอกแม่ตรง ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ท่านตกใจพอสมควร และเราก็ตัดสินใจเปิดอกคุยกันถึงเรื่องรสนิยมทางเพศของผม ซึ่งแม่บอกว่ารับได้ แม้ว่าในใจลึก ๆ ก็มีความเสียใจอยู่บ้าง แต่นั่นแหละคือจุดเปลี่ยนอีกครั้งที่สำคัญ ที่ทำให้ผมปฏิญาณตนเลยว่า ผมจะต้องตั้งใจเรียนไม่ให้คนอื่นมาว่าผมและแม่ได้

     จากเด็กที่ขี้เกียจ กลายเป็นขยันอย่างพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือ จากเด็กที่ลอกการบ้านเพื่อนกลายเป็นเด็กที่เพื่อนต้องเอาการบ้านไปลอก จากเด็กที่ไม่เคยมาโรงเรียนเช้า กลายเป็นนักศึกษาที่คอยมาเปิดไฟในห้องเรียน ผมตั้งใจเรียนและขยันเรียนจนจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง ต่อด้วยจบปริญญาโทพ่วงรางวัลนักเรียนดีเด่น ถึงแม้ว่าความรู้ความสามารถผมจะไม่ได้มากล้น แต่ความขยันที่ผมมีจะช่วยทดแทนในเรื่องของการท่องจำ และหมั่นฝึกฝน ทำให้ผมสามารถก้าวมาถึงจุดที่ทำให้พ่อและแม่ภูมิใจ ครอบครัวต่างก็มาแสดงความยินดี ทุกคนแม้จะรู้ว่าผมเป็นเกย์ แต่ก็ไม่มีใครที่ยกเรื่องนี้มาเป็นเรื่องนินทา ด้วยความดีที่ผมสร้างเอาไว้ทำให้ทุกคนมองข้ามเรื่องเกย์ของผมไปเสียหมด และทุกวันนี้ ผมก็สามารถยืนอยู่ท่ามกลางครอบครัว โดยมีสายตาที่ชื่นชมของทุกคนมองมาที่ผม

     สุดท้ายนี้อยากฝากถึงเกย์หรือเพศที่สามที่ยังไม่เปิดเผยตนเอง อยากให้เริ่มที่รักตัวเอง และยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน จากนั้นให้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะทำอย่างไรกับการเป็นตัวเอง และค่อย ๆ ทำให้คนรอบข้างยอมรับ แม้ว่าการบอกพ่อแม่จะเป็นเรื่องที่ยาก แต่เมื่อได้เปิดใจคุยแล้ว พ่อแม่ทุกคนก็ย่อมรับได้ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็คือ “ลูก” ของพวกท่าน ไม่ว่าเราจะทุกข์หรือสุข ก็จะมีสองมือที่คอยประคองตอนหัดเดินนี่แหละ ที่จะกลับมาประคองเราฟันฝ่าอุปสรรค์ต่าง ๆ  อีกครั้ง

 

ด้วยรัก และสนับสนุนให้ทุกคนเปิดเผยตนเอง

ครูใหญ่

 

ความคิดเห็น