เมื่อความหลากหลายทางเพศถูกบีบให้สร้างเงื่อนไขความแตกต่าง
ที่เหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการมีสุขภาวะ
อะไรคือกลไกสำคัญที่จะลดความเหลื่อมล้ำเหล่านี้
อะไรคือจุดตรงกลางที่ความเท่าเทียมจะปรากฏ
หรือทั้งหมดอยู่ที่ทัศนคติและความคิดของคนในสังคม?
จุดเริ่มต้นของความเท่าเทียมที่นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงสุขภาวะ
การถูกตีตราเพราะเสียงที่เปล่งออกมาไม่มีใครได้ยิน
หรืออาจจะได้ยินแต่ขาดการฟังอย่างเข้าใจลึกซึ้ง การมีพื้นที่รับฟังเสียงที่แผ่นเบาของกลุ่มหลากหลายทางเพศจึงเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นใครก็ควรได้รับสิทธิเท่าเทียมกันทุกคน อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อให้เกิดสุขภาวะที่ดีแก่ตนเอง
'โน๊ต' เจษฎา แต้สมบัติ ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน พูดถึงจุดเริ่มต้นของความไม่เท่ากันในกลไกของความเป็นธรรมเอาไว้ว่า
“สิ่งที่ทำให้ไม่เท่ากัน
เริ่มมาจากความคิดความเชื่อของคนในสังคมที่คิดว่าโลกใบนี้มีแต่ผู้หญิงและผู้ชาย ทำให้การออกแบบสวัสดิการ
กฎหมาย นโยบายต่าง ๆ รองรับเพียงแค่ความเชื่อ
แต่แท้จริงแล้วเราอยู่ในยุคของความหลากหลายทางเพศที่ไม่ได้มีแค่ผู้หญิงและผู้ชาย นอกจากนี้ยังมีทัศนคติที่มองว่า
ความเป็นผู้หญิงและผู้ชายคือสิ่งปกติ อะไรที่ผิดไปจากที่สังคมคาดหวังคือสิ่งผิดปกติ
ทัศนคติเหล่านี้ก็ทำให้มองคนไม่เหมือนกัน และไม่เท่ากัน”
เมื่อความเป็นเพศ
(หลากหลาย) ทำให้เราไม่เท่ากัน คุณโน๊ต ได้ให้ความเห็นว่า
นโยบายและกฎหมายที่ออกแบบมาไม่เอื้อต่อความเท่าเทียม รวมถึงทัศนคติของคนในสังคม ทำให้เกิดความแตกต่างและไม่เท่ากัน
ทางด้าน อาจารย์ประจำภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์แอน ดร. ชเนตตี ทินนาม
นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านเพศภาวะ
ได้ขยายภาพให้กว้างขึ้นโดยแสดงความคิดเห็นว่า
“ความไม่เท่าเทียมมักเกิดจากการตัดสินความเป็นมนุษย์ที่คนในสังคมมองว่า
เขามีความเป็นมนุษย์น้อยกว่าคนอื่นในสังคมที่เป็นหญิงชาย อันเนื่องมาจากว่า ‘เขา’
มีอัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่าง”
“ความเป็นมนุษย์นี่แหละที่เป็นกรอบที่ใหญ่ที่สุด
ความเป็นมนุษย์ของความเป็นเพศหลากหลายถูกตัดสินจากอัตลักษณ์ทางเพศ
หรือสิ่งที่สังคมมองเข้ามาแล้วพบว่าบุคคลนั้นไม่ได้อยู่ในกล่องของเพศหญิงหรือชาย” อาจารย์แอนขยายความต่อว่า
ความเป็นมนุษย์ที่มีอัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่างกัน
สามารถนำไปสู่การกระทำความรุนแรงในมิติต่าง ๆ ไม่ว่าจะการถูกเลือกปฏิบัติ
ทั้งร่างกาย จิตใจ รวมไปถึงจิตวิญญาณ
ในแง่มุมมองสุขภาพ
คุณโน๊ต ได้บอกเล่าถึงประสบการณ์ที่พบเจอเป็นประจำว่า “หากคนข้ามเพศป่วย
แม้ว่าจะศัลยกรรมเปลี่ยนเพศแล้วแต่ด้วยคำนำหน้าที่เป็น ‘นาย’ ทำให้ต้องเข้าไปนอนรวม ต้องไปนอนในห้องผู้ป่วยชายก็จะทำให้รู้สึกไม่สะดวกใจ
ไม่สบายใจ ทำให้คนข้ามเพศไม่อยากเข้าสู่ระบบสุขภาพของรัฐ ต้องเก็บเงินทำงานหนักเพื่อใช้บริการห้องส่วนตัวหรือเข้าสู่บริการภาคเอกชนเพื่อให้ได้รับการปฏิบัติแบบผู้หญิง”
“การศัลยกรรมเปลี่ยนเพศ
ถูกมองว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดในลักษณะที่มีความจำเป็นที่ต้องให้ประกันสังคมเข้ามาดูแลหรือเยียวยา”
อาจารย์แอน อธิบายต่อว่า ทุกวันนี้ยังขาดสวัสดิการในมิติสุขภาพที่เป็นธรรม
ขาดระบบประกันสังคมที่เอื้อต่อความต้องการในอัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่าง
ให้เชื่อมโยงกับมิติสุขภาพ เพราะผู้หญิงหรือผู้ชายข้ามเพศอาจมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลเนื้อตัวหรือร่างกายเป็นพิเศษกว่า
เพราะผ่านกระบวนการศัลยกรรมเปลี่ยนเพศมา ซึ่งสิทธิประกันสังคม บัตรทองหรือว่าอื่น
ๆ มันไม่ได้สนับสนุนการรักษาพยาบาลอันเป็นสิทธิการคุ้มครองพื้นฐาน
คุณโน๊ต เล่าว่า การเข้าถึง ฮอร์โมน การทำศัลยกรรมหน้าอกหรือการเปลี่ยนเพศถือเป็นข้อจำกัด
เพราะยังไม่ใช่รัฐสวัสดิการ ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงเพราะ
การเข้าถึงยาฮอร์โมนได้ง่าย ไม่ว่าจะผ่านร้านขายยา สั่งตามอินเทอร์เน็ต
หรือแม้กระทั่งตลาดมืด ไม่มีการควบคุมความปลอดภัยและมาตรฐาน
รวมไปถึงการมีอยู่ของหมอกระเป๋าทำให้กลุ่มหลากหลายทางเพศต้องเผชิญกับความเจ็บป่วย
และสุดท้ายก็ต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาที่เป็นสวัสดิการจากรัฐบาล
จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุนให้การเข้าถึงยาและบริการทางสุขภาพ
อาทิ ยาฮอร์โมน การทำศัลยกรรมต่าง ๆ มีมาตรฐาน ปลอดภัย และเข้าถึงได้
“กลุ่มหลากหลายทางเพศมักจะถูกสังคมมองในลักษณะเหมารวมมากกว่ากลุ่มชายหญิงที่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
เพราะค่านิยม ทัศนคติ
หรือฐานคิดของคนในสังคมมักมองว่าเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ผิดธรรมชาติ”
อาจารย์แอน อธิบายต่อว่า เมื่อกลุ่มหลากหลายทางเพศเข้ารับบริการในสถานพยาบาลของรัฐก็อาจถูกปฏิบัติแบบ
2 มาตรฐาน
“ดังนั้นการที่
‘เขา’
เจ็บป่วยอันเนื่องมาจากสาเหตุตรงนี้ แทนที่จะได้รับการดูแลในลักษณะที่เป็นธรรม
และได้รับการปฏิบัติแบบหญิงชายทั่วไป
อาจทำให้กลุ่มเหล่านี้ไม่กล้าที่จะเข้ารับการรักษา เพราะอึดอัดใจที่จะต้องเปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศแก่หมอหรือพยาบาล
และกังวลว่าจะถูกตัดสินในลักษณะที่ไม่เป็นธรรม”
“คนที่ยังไม่
coming out หรือที่ยังไม่เปิดเผยตัวตน อาจมีสภาวะของอาการป่วยด้วยโรคซึมเศร้า
อันเนื่องมาจากผลกระทบจากจิตใจที่ไม่ได้รับการยอมรับจากคนในครอบครัว สังคม
โรงเรียน ชุมชน ถือเป็นบาดแผลที่รุนแรงมากที่สุด” อาจารย์แอน เพิ่มเติมว่า
“คนที่มีลักษณะแบบนี้อาจนำไปสู่การสร้างพลเมืองที่อ่อนแอเพียงเพราะว่าไม่ได้รับการยอมรับ
หรือถูกปฏิเสธการมีตัวตนมาโดยตลอด”
“เราพบเห็นกลุ่มหลากหลายทางเพศมากมายในสื่อต่าง
ๆ โดยเฉพาะในสื่อบันเทิง เราคิดว่าคนได้ยินเสียงเรา” ในมุมมองของผู้มีความหลากหลายทางเพศ
คุณโน๊ต บอกกับเราว่า “คนได้ยินเสียงแต่ว่ายังไม่เห็นความสำคัญ หรือยังไม่ได้ฟังอย่างลึกซึ้งว่าการได้มาของเสียงนั้นจะต้องเผชิญกับความกดดัน
การบีบบังคับ เผชิญกับสถานการณ์ทางสังคมที่ทำให้ต้องลุกขึ้นมาฝ่าฟันอุปสรรคขนาดไหน”
คุณโน๊ต
เล่าว่า “หากฟังเสียงคนที่มีความหลากหลายทางเพศ อยากให้ฟังอย่างลึกซึ้ง
ฟังให้เห็นว่าต้องเผชิญแรงเสียดทาน เผชิญกับปัญหาเรื่องอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย
กว่าจะเติบโตมาอยู่ในปัจจุบัน หลายคนต้องออกจากครอบครัว
หลายคนหนีออกจากบ้านเพื่อตามหาฝัน บางคนถูกบังคับ
ถูกพาไปบำบัดเพื่อให้กลับมาเป็นเพศที่สังคมคาดหวัง
บางคนต้องออกจากสถานศึกษาเพราะไม่สามารถเรียนต่อได้เนื่องจากเพื่อนแกล้ง
โดนครูบอกว่าการเป็นกะเทย เป็นสิ่งไม่ดี เป็นต้น”
“เราไม่ค่อยได้ยินเสียงจากโลกภายนอก
หรือเสียงจากชายหญิง เพราะกลุ่มหลากหลายทางเพศต้องการ ‘เพื่อน’” ในมุมของ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านเพศภาวะ อาจารย์แอน บอกว่า เพื่อนในที่นี้คือ เพื่อนที่ยอมรับ ที่โอบกอดด้วยความรัก
เพื่อนที่สามารถ Speak out หรือพูดแทนกลุ่มหลากหลายทางเพศได้ “ไม่ว่าจะอยู่ในเพศสภาพแบบไหน
เราคือกลุ่มหลากหลายทางเพศด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้น
ส่งเสียงเหล่านี้แทนเพื่อนของเราที่เป็น LGBT เพราะเขาคือเพื่อนของเรา”
คุณโน๊ต
เล่าทิ้งท้ายว่า “อยากให้ทุกคนลองฟังเสียงให้ลงลึก เราจะพบว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการสิ่งพิเศษนอกจากหญิงและชายเลย
สิทธิหรือบริการต่าง ๆ ที่เราต้องการ เป็นแบบเดียวกับสิ่งที่มีในเพศชายเพศหญิง
เพียงแค่อยากให้มองเห็นเราในฐานที่เป็นประชากร เป็นพลเมืองเท่านั้นเอง”
เดือนมิถุนายนถือเป็นเดือนแห่ง
Pride หรือ
Pride Month (เดือนแห่งความหลากหลายทางเพศ) มาร่วมกันรณรงค์ช่วยกันเปล่งเสียงให้ทุกคนได้ยินปัญหาของกลุ่มหลากหลายทางเพศ
ในการเข้าถึงสิทธิต่าง ๆ ให้เท่าเทียมกับทุกคน
เพื่อให้เกิดสุขภาวะที่ดีขึ้นในสังคม สสส.และภาคีเครือข่ายจึงสร้างองค์ความรู้ให้พ่อแม่
ผู้ปกครองมีความเข้าใจถึงความหลากหลายทางเพศ
เพราะทุกคนคือเพื่อน
ทุกคนมีความหลากหลาย
เรื่องโดย : ปรภัต จูตระกูล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น